มองศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
หมายเหตุ:
บทความนี้คัดมาจากบทที่ 1 ของหนังสือเรื่อง
“พุทธปรัชญามองจากทรรศนะทางวิทยาศาสตร์” เขียนโดย อาจารย์ สมัคร บุราวาศ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2496 เราเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชาชนผู้รักและแสวงหาสัจธรรม
หรือผู้สนใจทั่วไปในการทำความเข้าใจศาสนาในแง่มุมที่เป็น “วิทยาศาสตร์สังคม” นอกเหนือไปจากความเข้าใจแบบเดิม ที่เนื้อหาถูกดัดแปลงให้ผิดเพี้ยนไป แล้วยัดเยียดให้แก่ประชาชนเชื่อถือปฏิบัติสืบกันมาอย่าง
“ไม่เป็นวิทยาศาสตร์” จนกลายเป็นกระแสความเชื่อหลักในสังคมไทยทุกวันนี้
อาจารย์
สมัคร บุราวาศ สอบได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปเรียนทางด้านเหมืองแร่ที่ประเทศอังกฤษ จบชั้นปริญญาตรีระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เป็นราชบัณฑิต เมื่ออายุ 27 ปี ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.2518
แต่ผลงานของท่านยังคงมีความทันสมัยอยู่จนกระทั่งบัดนี้ เราจึงขออนุญาตนำผลงานบางตอนของท่านในหนังสือเล่มดังกล่าวมาเผยแพร่เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ และขอขอบคุณอย่างสูงมา
ณ ที่นี้ด้วยความเคารพ
…………………………………..
เมื่อเรานึกถึงคำว่าศาสนานั้น ก่อนอื่นเรามักจะวาดภาพของศาสดาเจ้าของศาสนาขึ้นก่อน
ครั้นแล้วต่อไปเราจะนึกถึงคำสอนของศาสดาพระองค์นั้น เมื่อเป็นดังนี้ก็ได้ความอย่างคร่าวๆว่า ศาสนาคือคำสอน ให้คนเรารู้จักแสดงความภักดีต่อเจ้าของศาสนาและเป็นบทเรียนให้เรารู้จักคำสอนของศาสดานั้นๆ
1.
ศาสนวิจารณ์ แต่การนึกคิดเช่นนี้เป็นเพียงความนึกคิดของผู้เลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น ผู้ไม่มีศรัทธาหรือผู้ที่ต่างศาสนากับเรามักจะตั้งปัญหาถามต่างๆนานา ซึ่งถ้าเราไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่ดี
หรือไม่มีเหตุผลพอเพียงที่จะตอบแล้วก็มักจะกล่าวคำเสียดสีออกมาว่า พวกที่ซักเป็นพวก”เดียรถีย์” เป็นพวกมิจฉาทิฎฐิ เป็นพวกที่ไร้ศีลธรรม ความจริงมีคนในโลกอยู่มากมายที่ยอมรับว่าตัวไม่นับถือศาสนาอะไรเลย
แต่ปรากฏว่าพวกนี้มีการศึกษาดีและมีศีลธรรมดี เป็นดั่งนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดว่า
ผู้ที่ปักใจเลื่อมใสศาสนาใดศาสนาหนึ่งอาจเป็นผู้งมงายก็ได้ ฉะนั้นเมื่อถูกต้อนด้วยเหตุผลจึงไม่อาจโต้เถียงสู้ฝ่ายค้านได้ มีนักการศาสนาอยู่เป็นจำนวนมากมายเหมือนกันซึ่งเมื่อตอบปัญหาที่ฝ่ายแย้งถามมาไม่ได้
ก็อ้างความลึกลับหรือความสูงส่งสุดวิสัยที่สามัญชนจะเข้าใจมาอ้าง ทั้งนี้ทำให้ฝ่ายแย้งจำต้องเงียบไป แต่การกระทำดังนี้ย่อมเป็นการเสี่ยงตัวอยู่ เพราะฝ่ายแย้งอาจหาว่านักการศาสนาผู้นั้นเอาความเท็จหรือสิ่งที่มิได้มีอยู่จริงมาอ้างก็อาจเป็นได้
การโต้แย้งของนักคิดในศาสนาอื่นและการโต้แย้งของผู้ที่ไร้ศาสนานี่เองได้แผ้วถางให้เกิดการศีกษาศาสนาตามวิถีทางแห่ง
“วิทยาศาสตร์ “ ขึ้น
กล่าวคือนักการศาสนารุ่นใหม่ได้ละทิ้งการอ้างพระสูตร อ้างความลึกลับ หรืออ้างความสูงส่งที่สุดวิสัยสามัญชนจะเข้าใจนั้นเสีย หากแต่ได้สนใจค้นทางหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทำการเลือกสรรเอาคำสอนอันเป็นแก่นของศาสนานั้นๆออกมาแสดงรวมทั้งชี้ให้เห็นความเป็นไปของมนุษย์และสังคม
อันเป็นผลของการปฏิบัติไปตามคำสอนที่เป็นแก่นของศาสดาองค์นั้น และที่เป็นผลของการได้ปฏิบัติตาม หรือที่เป็นผลของการปฏิบัติตรงกันข้ามกับคำสอนที่เป็นแก่นนั้นด้วย
นี่หมายความว่า เราจะศึกษาศาสนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเฉยๆไม่ได้แล้ว เพราะว่าคำสอนที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดในทุกๆศาสนาก็คือ “จงแสวงหาความจริงและละทิ้งความเท็จ” คำสอนนานัปการในศาสนาหนึ่งๆอาจถูกบ้าง
ผิดบ้าง ล้าสมัยบ้าง เป็นคำสอนของพระอรรถกถาจารย์ชั้นหลังๆซึ่งหมายความว่าไม่ใช่คำสอนเดิมของเจ้าศาสนาบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักคิดที่ต้องเลือก
สรรค์เอาคำสอนที่แท้ของศาสดาออกมาเผยแผ่ หรือชี้ให้เห็นความผิดถูกของมัน และทำการวิจารณ์คำสอนนั้นๆ
2. ศาสนวิทยา ตามนัยอย่างนี้..บรรดาความรู้ที่รวบรวมได้จึงไม่ใช่คำสอนของศาสนาเฉยๆ หากแต่เป็นความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับที่มาของคำสอนนั้น
เกี่ยวกับคำสอนที่แท้กับความถูกผิดของคำสอนนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นความรู้ทาง
“วิทยาศาสตร์สังคม”ว่า ศาสนานั้นๆทำให้สังคมดีขึ้นเพียงไร?
หรือศาสนานั้นเพียงแต่ทำให้สังคมทรงตัวอยู่เช่นเดิมคำสอนเป็นหมัน ในกรณีเช่นนี้เราอาจ จะอาจเอื้อมเกินเลยไปถึงกับเสนอคำสอนอันจะแก้ไขสังคมให้ดีอย่างจริงจังขึ้นมาบ้างก็ และเพราะฉะ
นั้นวิทยาการเกี่ยวกับศาสนาในแนวกว้างๆอย่างนี้
ก็สมควรจะได้ชื่อว่า ศาสนวิทยา
คำว่าศาสนวิทยานี้ปรากฏว่าไม่มีคำในภาษาอังกฤษที่ตรงกัน จะมีใกล้เคียงก็แต่คำ Divinity หรือTheology
แต่สองคำนี้ได้ถูกตีความให้แคบไปโดนถือกันว่าเป็นความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ซ้ำร้ายคำว่า Theology ยังถูกแปลว่าเทวะวิทยาเสียอีก
ซึ่งทำให้เข้าใจว่ามันเป็นวิชาที่เกี่ยวกับเทพเจ้าต่างๆ อันใกล้เคียงกับวิชา Mythology มาก อย่างไรก็ตามศาสตราจารย์ john Baillieได้อ้างคำว่าTheologyนั้นเป็นคำของกรีก อริสโตเติ้ล เป็นผู้เริ่มใช้คำนี้
และได้กำหนดให้คำนี้หมายถึงการศึกษาศาสนาตามแผนวิทยาศาสตร์
ฉะนั้นคำว่า Theology
จึงตรงกับคำว่าวิทยาศาสตร์ของศาสนา หรือเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ศึกษาด้านศาสนาโดยเฉพาะ ตามนัยนี้ Theology กับศาสนวิทยาจึงมีความหมายตรงกัน
กล่าวคือศาสนวิทยาคือการใช้วิทยาศาสตร์เข้าจับและศึกษาศาสนาโดยเฉพาะนั่นเอง
และวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้ย่อมรวมอยู่ในวิทยาศาสตร์สังคม(Social Science)
เพราะมันกล่าวถึงความเป็นไปของมนุษย์กับสังคมในแง่ดีชั่ว สุขหรือทุกข์โดยเฉพาะ
3.
จริยสังคมวิทยา ในเวลาเดียวกันกับที่ศึกษาว่าศาสนาหนึ่งๆเกิดมาได้อย่างไร? ได้ให้คำสอนอันเป็นแก่นอย่างไร
และคำสอนนั้นใช้ปรับปรุงความประพฤติของมนุษย์ได้อย่างไรนั้น
เราก็จะมองเห็นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์สังคมของเราเองก็อาจให้คำตอบที่ศาสนาต่างๆมุ่งหมายได้ กล่าวคือ.วิทยา ศาสตร์สังคมอาจบอกเราว่า คนประพฤติชั่วเพราะอะไร จะระงับได้อย่างไร ความประพฤติชั่วจะก่อ
ให้เกิดผลร้ายอย่างไร
ความทุกข์สุขของคนเราเกิดจากอะไร
และจะทำให้คนส่วนมากที่สุดเป็นสุขได้อย่างไรนี่จะเป็นสาขาของสังคมวิทยาที่เราควรเรียกว่า จริยธรรมสังคมวิทยา(Ehtical Sociology)
หนังสือเล่มนี้เนื่องจากจะทำการบรรยายไปตามแนวศาสนวิทยา ดังนั้นการแสดงแนวกว้างๆของศาสนวิทยาไว้ ณ
ที่นี้จึงมีความจำเป็น
4.
ประวัติศาสนา ก่อนอื่นเราต้องยอมรับในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอนว่าได้มีศาสนาในโลก
และได้มีสำนึกนอบน้อมต่อศาสนาใดศาสนาหนึ่งในจิตใจของคนเราอยู่แล้ว เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการอบรมสั่งสอนของนักการศาสนาที่สืบทอดกันมาจากศาสดาเจ้าของลัทธิ
เมื่อสาวไปได้อย่างนี้เราก็ต้องค้นดูในประวัติศาสตร์ว่า ศาสดาเจ้าลัทธิองค์ใดองค์หนึ่งนั้นมีจริงหรือไม่
เนื่องจากประวัติศาสตร์เองก็อาจเป็นบันทึกที่ผิดพลาดได้
เราต้องตรวจสอบมันด้วยประวัติศาสตร์ที่ผู้อื่นบัน
ทึกซึ่งถ้าจะให้ดีก็ต้องเป็นคนในสมัยเดียวกัน
แต่ที่ดีที่สุดก็ต้องทดสอบความจริงจากประวัติศาสตร์นั้นๆด้วยโบราณวัตถุที่ถูกอ้างอิง
ฉะนั้นการขุดค้นหาโบราณวัตถุจึงมีคุณค่าอย่างมากต่อศาสนวิทยา ถ้าขาดข้อนี้เสียแล้ว ศาสนวิทยาก็จะไร้หลักฐานอันสำคัญไปเลยทีเดียว
5.
ภารกิจที่แท้ของศาสนา ความจริงถ้าจะถามกันอย่างคาดคั้นว่า มีศาสนาไปทำไทกัน เราก็จะได้คำตอบอันเป็นที่สิ้นสุดว่า มีศาสนาไว้สอนให้คนประพฤติดี
จะได้สามัคคีและช่วยเหลือกัน
ทำให้สามารถอยู่ในโลกด้วยความพอใจและความสุข ทำได้เพียงแค่นี้ก็นับว่าเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่แล้ว เพราะแม้กระทั่งบัดนี้มนุษย์ก็ยังประพฤติชั่วกันอยู่และเลยเข้าเบียดเบียนกันเอง เข้าทำลายความสามัคคีซึ่งกันและกันและแตกแยกกันเอง
ทำให้ไม่อาจร่วมมือช่วยเหลือกันร่วมทำโลกให้น่าอยู่กว่านี้ได้ มิหนำซ้ำยังก่อทุกข์ให้แก่กันเสียอีก
ดังนั้นศาสนวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ จึงไม่ใคร่สนใจต่อปัญหานรก/สวรรค์ ชาติหน้า
อมฤตภาพ หรือภาวะพรหม
ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนความดีของคนเป็นส่วนบุคคลหลัง จากที่เขาได้ตายไปแล้ว
ศาสนวิทยาย่อมดำเนินไปตามมติของขงจื๊อที่ว่า “เรื่องของคนเป็นๆ
ยังไม่ค่อยรู้ จะไปสนใจอะไรกับเรื่องของคนที่ตายเล่า”
6.
ศาสนาในกลียุค ความจริงเมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ดังกล่าวเราก็จะได้คำตอบที่ถามว่า มีศาสนาไว้เพื่ออะไร? ดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม
ประวัติศาสตร์จะบอกเราว่ามันเกิดขึ้นมาในขณะที่มนุษย์กำลังระส่ำระสาย เบียดเบียนแตกแยกกันอย่างรุนแรงทั้งสิ้น
สิ่งเหล่านี้เองได้ผลักดันให้ศาสดาคิดค้นหาหนทางแก้ไข และหนทางดังกล่าวก็คือคำสอนของท่านนั้นเอง
การใช้คำว่า”ยุคทอง”กับเวลาที่ศาสนาถือกำเนิดจึงผิดถนัดเพราะศาสนาย่อมเกิดในกลียุคทั้งสิ้น
สังคมอินเดียสมัยพุทธกาลปั่นป่วนเพียงใดเราจะได้ทราบจากข้อความในบทต่อไป ดังนั้นผู้ที่กล่าวเอาเองว่า”คนดีต้องเกิดในเวลาที่บ้านเมืองดี”
จึงเป็นเรื่องที่ผิด เพราะในพระ
ไตรปิฎกเองก็มีคำระบุไว้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเกิดในกลียุค รายละเอียดในพุทธประวัติหลายชิ้นช่วยส่งเสริมความจริงในข้อนี้
7.
ศาสนาในเบื้องบุพกาล อย่างไรก็ตามหากเราละทิ้งเสียไม่กล่าวถึงกำเนิดของศาสนาแต่เบื้องบุพกาลแล้ว
เราก็อาจจะเข้าใจคลุมเครือในเรื่องความเชื่อต่างๆที่มีในศาสนาปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะปรากฏว่าเราได้นำเอาศรัทธาในศาสนาบุพกาลเข้ามาปะปนกับศาสนาสมัยใหม่มากอยู่ ฉะนั้นถ้าเราไม่ทำการศึกษาสะสางเสียก่อน
เราจะเกิดความเข้าใจจริงในเรื่องของศาสนาไม่ได้เลย ข้อความเกี่ยวกับศาสนาบุพกาลนั้น เราจะหาอ่านได้จากตำราสังคมวิทยา ปรัชญา
หรือประวัติศาสตร์ โลก และเพื่อ ให้เข้าใจความประพฤติและความนึกคิดของมนุษย์ให้ดีขึ้นเราต้องอ่าน The Origin of Families ของ Engels เพราะพฤติกรรมทางด้านครอบครัวแต่เบื้องบุพกาลของคนเราก็เป็นต้นเหตุผลักดันความคิดคนเราในปัจจุบันนี้อยู่มาก
จึงสามารถใช้อธิบายได้ว่าเหตุไรคนเราชอบมีชู้เป็นต้น
8. วิญญาณนิยม(Animism)และเทวนิยม(Mythology) มนุษย์โบราณนั้นมักอยู่รวมกันเป็นฝูงๆและ
นักปราชญ์ทางสังคมวิทยาคาดว่าคงผสมพันธุ์กันแบบไม่จำกัดคู่ผัวตัวเมียคล้ายกับสัตว์ การหาเลี้ยงชีพเป็นไปในทำนอง “ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน” กล่าวคือรวมกันเป็นสังคมที่ไร้นาย
คนที่มีแรงกายทำงานได้ล้วนทำงานกันหมดและผลผลิตที่ได้มาก็จะแบ่งปันกันไปอย่างทั่วถึง การทะเลาะเบาะแว้งก็เป็นการทะเลาะกันส่วนตัว
เป็นการชั่วคราวซึ่งไม่สร้างผลเสียหายเท่าไหร่นัก เป็นอันจัดได้ว่าในหมู่มนุษย์เบื้องบุพกาลกลุ่มหนึ่งๆนี้มีการร่วมแรงร่วมใจกันอยู่แล้ว ภัยระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์จึงมีน้อยมาก และก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่มนุษย์จะต้องเพ่งเล็งถึงภัยธรรมชาติเป็นภัยร้ายแรงกว่าภัยอื่นๆ
ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์โบราณ เพราะมันเป็นเร่องใหญ่และนำอันตรายมาสู่มนุษย์หมดทุกคนในบริเวณใกล้เคียง
อันตรายจากโรคระบาดก็อาจยังไม่รุนแรงเท่ากับภัยธรรมชาติ ซึ่งน่าจะมีไม่มากครั้ง
เพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่แบบมั่วสุมกันเช่นในปัจจุบันนี้ อันตรายจากสัตว์ร้ายก็มีในวงแคบเฉพาะมนุษย์คนเดียวหรือสองสามคนเท่านั้น แต่เมื่อมีพายุใหญ่พัดมาทำเอาต้นไม้ บ้านช่อง
ที่อยู่อาศัยพังระเนระนาด
มีฝนตกหนักอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
มีอสุนีฟาดเปรี้ยงได้ยินไปทั่วบริเวณ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม
ทำให้มหาชนต้องถูกหินหลอมละลายถมทับ
บ้านช่องพังทลาย ผู้คนตกลงไปตายในรอยแยกของผิวโลก มีคลื่นใหญ่จากทะเลซัดเข้ามาพังหมู่บ้านชาวทะเล
ล่มเรือนับสิบๆลำ เกิดน้ำท่วมใหญ่ทำให้บรรดาพืชผล
สัตว์เลี้ยงและบ้านช่องเสียหายและมีคนจมน้ำตาย
ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกก็คือน้ำท่วมโลกในยุคบุพกาล อันปรากฏมีบันทึกไว้ในคัมภีร์ของศาสนายิวและคริสต์รวมทั้งตำหรับนารายณ์สิบปางด้วย สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความสะเทือนใจอย่างรุนแรงแก่มนุษย์โบราณ และเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของตนก็หาหนทางแก้ไข ทางแก้ที่ถูกต้องคือแนวทางวิทยาศาสตร์ แต่ในขณะนั้นวิชานี้ยังไม่เกิด ประชาชนจึงหาทางแก้ด้วยวิธีอื่น
วิธีแก้ก็คงเป็นวิธีที่เขาคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำนั่นเอง
พวกเขาได้สังเกตว่า..ในหมู่ของพวกเขาเองมีคนแข็งแรง หน้าตาดุดัน
มีฝีมือในการรบพุ่งต่อยตี
คนผู้นี้อาจจะเป็นประมุขของชุมชน
เป็นหัวหน้านำในการรบพุงกับศัตรูซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันกหรือสัตว์ร้าย มนุษย์ผู้เก่งกาจอย่างนี้จุทำร้ายผู้คนเวลาเขาโกรธ และก็ช่างเหมือนกันแท้ๆระหว่างความ โกรธของคนและความกราดเกรี้ยวของธรรมชาติ
เขาอาจจะทำรุนแรงกับมนุษย์เหมือนที่ธรรมชาติทำจะเบิ่งตากว้างด้วยความอาฆาตมาดร้ายคล้ายตาของพยัคฆ์และจะลุกเป็นประกายวาววามราวแสงจากฟ้าแลบ
เสียงของเขาจะคำรามออกมาดังก้องเทียบได้กับเสียงฟ้าร้องในขณะที่โกรธ เสียงหายใจดังประหนึ่งพายุ มนุษย์สังเกตได้ว่า วิธีปฏิบัติต่อคนโกรธคือแสดงอาการยอมแพ้และแสดงความภักดีต่อเขาเสียพร้อมกับเปล่งคำว่า
”กลัวแล้ว” ออกมาด้วย
และนี่ก็เป็นวิธีการเดียวกับของเด็กที่ปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ในขณะที่กำลังโกรธและกำลังจะทำโทษตัวนั่นเอง
การสำแดงอาการกิริยายอมแพ้ด้วยการก้มศีรษะให้และกระพุ่มมือหรือยกมือขึ้น
เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ถืออาวุธเพื่อต่อสู้ หรือมิได้จ้องมองเพื่อเตรียมต่อต้านอยู่... เช่นนี้ความจริงก็เป็นวิธีการปฏิบัติระหว่างคนต่อคน
เพื่อให้ฝ่ายที่แข็งแรงกว่าหยุดทำการมิดีมิร้ายต่อตน และวิธีการเช่นนี้ถูก”ฉายไปสู่ฟ้า”
จึงได้กลายเป็นวิธีการทางศาสนาแต่เบื้องบุพกาลไป
9.ศาสนาแห่งความกลัว
ความตายของคนเราเป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ทำให้เราสะดุ้งสะเทือนกันมาก
และเพราะความตายนี่เองเราจึงได้ปัญหาศาสนาเพิ่มขึ้นมาอีก เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าคนเราส่วนหนึ่งไม่อยากตายยิ่งเป็นหนุ่มสาวในท่ากลางของความสุขยิ่งเกลียดชังความตายมากขึ้น อย่าง ไรก็ตาม..ผู้ที่ไม่รังเกียจความตายก็มี...เขาคือเหล่าผู้ตกอยู่ในความทุกข์ พวกนี้มีความคิดอยู่เพียงว่า
“ตายเสียก็ดีจะได้พ้นความทุกข์”
ส่วนผู้ที่มีความสุขอยู่ในโลกนั้นย่อมคิดไปในทางที่ว่า
“ตายแล้วก็หมดความสุข ทำอย่างไรเล่าจึงจะไม่ตาย จึงจะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
ความพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติให้เข้าได้กับความเข้าใจของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ให้เข้ากันได้กับความไม่อยากตาย
ทำให้มนุษย์โบราณตั้งทฤษฎีคงกระพันชาตรีของวิญญาณของมนุษย์ขึ้นมา แต่หาใช่เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไม่เพราะไม่มีทางพิสูจน์ให้เห็นเป็นจริงได้ มนุษย์โบ
ราณซึ่งอ่อนในเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
หากแต่ได้ยึดหลักตรรกะวิทยาแบบฉบับ(Formal Logic)ที่ว่า “มีผลต้องมีเหตุ”
และได้ทำการอนุมานอย่างผิดๆจากผลสาวไปหาเหตุว่า มนุษย์ผู้เก่งกล้าที่ตายไปนี้เองได้ไปเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ และเข้าบัญชาอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและปรากฏการณ์
ที่น่ากลัวอื่นๆ
เป็นการสำแดงความโกรธ เป็นการขู่ขวัญจะทำร้ายผู้คนด้วยภัยธรรมชาติ
ดังนั้นวิธีแก้ก็จะเป็นวิธีเดียวกันกับที่เราเคยปฏิบัติต่อผู้ยิ่งใหญ่ในโลกที่กำลังโกรธนั่นอง
กล่าวคือแสดงความกลัวเกรงและนอบน้อมยอมแพ้แต่โดยดี
ฉะนั้นศาสนาของคนโบราณจึงเป็นศาสนาของการแสดงความภักดีด้วยความเคารพยำเกรงต่อเทพเจ้า
ผู้ซึ่งมักจะถูกวาดภาพให้มีหน้าตาดุร้าย
แม้ศาสนาของคนในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่หลุดพ้นจากพิธีการและประติมากรรมดังกล่าว ยังมีชนชาติในที่ต่างๆในอัฟริกา เอเชีย อเมริกา
ในหมู่เกาะทะเลใต้ ฯลฯ ยังทำการบูชาเทพเจ้าผู้ดุร้ายกันอยู่
ต้นเหตุของปฏิมากรรมอย่างนี้ก็อยู่ที่การอยากได้ผลประโยชน์ในการที่จะให้เทพเจ้าผู้ถูกคิดว่าบัญชาอยู่เบื้อง
หลังเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ระงับการกระทำอันน่ากลัวของท่านเสีย นี่ก็ไม่ผิดอะไรกับการที่เด็กร้องว่า
“กลัวแล้ว” และประนมมือไหว้ผู้ใหญ่ที่กำลังลงโทษตน
หรือไม่ผิดอะไรกับคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาแสดงความเคารพยำเกรงต่อผู้ยิ่งใหญ่เพื่อเอาตัวรอดนั่นเอง
ศาสนาแห่งความกลัวนี้แม้กำลังจะสูญหายไปจากโลกก็ตาม แต่ก็ยังแฝงอยู่ในขนบประเพณี ธรรม จริยา
และมารยาทของคนในโลกอยู่
ทุกวันนี้ผู้คนยังแสดงความภักดีต่อผู้ที่เหนือกว่าด้วยความยำเกรง ซึ่งก็แปลงร่างมาจากความกลัวนั่นเอง
ซึ่งสืบเนื่องมาจากลัทธิวิญญาณนิยมที่เป็นศาสนายุคแรกที่สุดของโลก และโปรดอย่าลืมเป็นอันขาดว่าแม้แต่ท่านและข้าพเจ้าในขณะนี้ยังตัดศาสนานี้ออกไปขากจิตใจไม่ขาดสิ้น
เราเพียงแต่ปล่อยให้มันสำแดงผลออกมาในรูปอื่นเท่านั้นเอง
10.
ศาสนาแห่งความสำนึกคุณ
ภัยอันรุนแรงของธรรมชาติได้ทำให้มนุษย์รู้จักคิดว่า
ความสวัสดีและความไม่สวัสดีของตนนั้นมีต้นเหตุมาจากธรรมชาติ
ประกอบกับมนุษย์ได้มีความคุ้นเคยกับความสำนึกคุณซึ่งตนเองมีต่อมนุษย์ด้วยกัน เช่นกับหัวหน้าครอบครัว หรือพ่อเมือง หรือคนอื่นดอยู่ แล้วจึงได้เกิดความคิดใหม่ในศาสนาขึ้น
ความสำนึกคุณนี้หาใช่สิ่งดั้งเดิมที่นักปรัชญาชาวเยอรมัน อิมมา นูเอล คานท์ (Immanuel Kant)
ได้กล่าวอ้างว่ามีอยู่ได้เองโดยไร้ต้นเหตุไม่
แต่เรารู้แน่ว่ามันได้เกิดมีขึ้นเมื่อเราได้รับประโยชน์จากผู้อื่นแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือมิฉะนั้นก็เกิดมีขึ้นเพราะเราถือว่า
สิ่งที่เรารับจากผู้อื่นมีคุณค่ามากกว่าการรับใช้ของเรา เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า การสำนึกคุณนี้เป็นความรู้สึกในธรรมประเภทที่เกิดแรกสุดของมนุษย์
และต้นกำเนิดของมันย่อมอยู่ที่ความรักระหว่างมารดากับบุตรและระหว่างสามีภรรยาเป็นปฐม
เด็กๆในฐานะที่ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้นั้นย่อมต้องงอนง้อขออาหารจากและสิ่งอื่นๆจากบิดามารดา
โดย เฉพาะอย่างยิ่งจากมารดา
ทั้งนี้เพราะปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์แห่งครอิบครัวได้ชี้ว่า
ในชั้นแรกนั้นมนุษย์มีการสืบพันธ์กันอย่างสำส่อนและภายหลังได้ก้าวหน้าไปสู่การแต่งงานหมู่นั้น
เด็กย่อมไม่รู้ว่าใครเป็นบิดาเพราะมีหลายคนด้วยกันแต่เด็กจะรู้ว่าใครเป็นมารดาเพราะตนเกิดมาจากนั้น ในระยะนี้ของระบอบสังคมยังเป็นชุมชนบุพกาล คำว่าแม่
ย่อมเป็นคำขวัญ-เป็นสิ่งที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดดังนั้นจึงถูกนำไปใช้กับสิ่งต่างๆแม้ที่เป็นธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกจึงเป็นศีลธรรมบุพกาล ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปเป็นศีลธรรมที่มีความสลับซับซ้อนของบรมศาสดา
แท้จริงแล้วศาสนาแห่งความกลัวดังที่กลฃ่าวมาแล้วนั้นหาใช่เป็นเรื่องของศีลธรรมไม่ หากแต่เป็นการยอมรับความยิ่งใหญ่ ยอมกลัว
ยอมปฏิบัติตาม หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นสิ่งที่คล้ายกับการเมืองนั่นเอง ศาสนาแห่งศีลธรรมที่แท้ต้องนับว่าเกิดขึ้นในยุค”แม่”นี้เอง
ศีลธรรมอันเกิดจากระบบแม่กับลูกนี้คืออะไรเล่า?
แต่ทว่ามันคือความรักนั่นเองเป็นความรักระหว่างแม่หนึ่งกับลูกหนึ่งเท่านั้น แม้ในขณะ นั้นความรักระหว่างหญิงชายยังมิได้เป็นความรักระหว่างหนึ่งต่อหนึ่งเลยเพราะเป็นความรักแบบสำส่อน ความรักระหว่างมารดากับบุตรนั้นเป็นสิ่งมีจริงและยังพิสูจน์ให้เห็นได้อยู่ในปัจจุบันนี้
และได้พัฒนาไปเป็นความรักหนึ่งต่อหนึ่งของคนหนุ่มสาวในระบบผัวเดียวเมียเดียว และก็ได้พัฒนาไปเป็นความรักที่สูงส่งอื่นๆในชั้นหลัง เช่นความรักต่อผู้ยิ่งใหญ่ ในพระผู้เป็นเจ้า ในชาติของตนและในชาติที่มีอุปการคุณต่อตนเป็นต้น
ดังนั้นเราจึงไม่ต้องไปค้นหาหลักศีลธรรมเบื้องต้นจากที่อื่นใดอีก ไม่ต้องไปค้นหาด้วยการ”นั่งเพ่ง”
หรือนั่งอ้อนวอนเทพเจ้าอื่นใดอันไม่แน่ว่าจะมีอยู่จริง และไม่ต้องไปค้นคว้าครุนคิดในปรัชญาชั้นสูงที่ซับซ้อน แล้วนำมาอธิบายว่า ศีลธรรมคืออะไร? ควรเป็นอย่างไร?
เพราะว่าด้วยการสังเกตุจากสิ่งที่คิดว่าต่ำๆนี้เอง เราอาจจะได้รับความสว่างอย่างเจิดจ้าโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการอนุมานที่ผิด หรือกล่าวความเท็จทางปรัชญาให้เป็นที่เสียหาย
ความรักและความสำนึกบุญคุณซึ่งบุตรมีต่อมารดา
และเนื่องมาจากสำนึกอันนี้ย่อมไม่หายไปเมื่อยามที่เขาเตืบโตเป็นผู้ใหญ่
เขาย่อมนำเอาความรักและความสำนึกในบุญคุณนี้ไปใช้กับสิ่งต่างๆให้กว้างขึ้นเป็นลำดับ
และในที่สุดความสำนึกธรรมอย่างนี้ก็จะถูกนำไปใช้หรือ”ฉายขึ้นฟ้า” อีก เมื่อมนุษย์เริ่มสังเกตุว่าธรรมชาติที่เป็นคุณกับตนก็มี คือมีเหมือนในยามเด็กที่มารดามีคุณกับตนฉะนั้น ในยุคแห่งลัทธิ ”วิญญาณนิยม” เช่นนี้ จึงคิดกันว่ามีเทพเจ้าผู้อารี หน้าตายิ้มแย้มสวยงาม มีฤทธิ้เดชอำ นาจบัญชาอยู่เบื้องหลังธรรมชาติที่เป็นคุณเหล่านั้น มนุษย์ซึ่งได้รับประโยชน์จากธรรมชาติที่เป็นคุณเหล่าจึงเกิดความสำนำในบุญคุณขึ้น และก็เหมือนกับการที่เราทำการเคารพกล่าวคำขอบคุณต่อ
มนุษย์ผู้มีบุญคุณต่อเรา เราก็ทำการวาดภาพ ปั้น
หรือหล่อรูปเทพเจ้าเหล่านั้นขึ้นไว้ทำการเคารพบูชาและสวดมนต์กล่าวคำขอบคุณ
แต่ต่อมาภายหลังเมื่อธรรมชาติไม่อำนวยผลขึ้น เราพากันคิดว่าเทพเจ้าไม่โปรดเพราะเราแสดงความภักดีไม่พอ เลยต้องทำการบูชาบวงสรวงให้หนักเข้าละแล้วระบบการทำประติมากรรมเพื่อขอผลประ
โยชน์ก็ติดตามมา
นี่มิใช่เป็นการปฏิบัติที่อื่นไกลอะไรเลยหากเป็นวิธีเดียวกันกับที่เรา นิยม
ยกยอ ภักดีกราบไหว้ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์เพื่อขอผลประโยชน์
หรือเป็นวิธีการเดียวกันที่เด็กๆอ้อนวอนร้องขออาหารจากบิดามารดานั้นเอง
ครั้งก่อนมนุษย์เคยไหว้เทพเจ้าเพราะความเกรงกลัวมาครั้งหนึ่งแล้วและก็ได้ขอผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยเพียงเพื่อมิให้ทำร้ายตนเท่านั้น บัดนี้ศาสนาได้ถูกบิด เบือนด้วยความอยากได้ของมนุษย์ให้กลายเป็นศาสนาของผลประโยชน์ไป
คำสวดมนต์อ้อนวอนซึ่งชั้น
แรกเป็นการสรรเสริญเยินยอเทพเจ้าเฉยๆนั้น
ต่อมาได้มีการขอผลประ โยชน์ติดตามเข้ามาด้วย
และเพื่อสนองความประสงค์อย่างนี้จึงเกิด
“ผู้รับจ้างเฝ้าศาลเจ้าหรือเทวา ลัย” ขึ้น เป็นอาชีพที่ผิดแผกไปจากอาชีพอื่นมากมาย นับเป็นอาชีพแรกของการถอยห่างออกจากการหาอาหารด้วยการทำงาน
และมากระทำสิ่งที่เข้าใจว่าจะช่วยทำงานของมนุษย์ให้เบาบางลงและได้ผลมากขึ้น เป็นการกำเนิดเริ่มแรกของปัญญาชน ซึ่งอาศัยเวลาว่างจากการทำงานนั้น คิดสร้าง ศาสนา ปรัชญา
และวิชาวิทยาศาสตร์ขึ้น
ซึ่งวิทยาการอย่างหลังนี้ต่อมาได้ช่วยให้มนุษย์ทำงานเบาแรงลงละได้ผลจากงานมากขึ้นจริงๆ
ดังนั้น...เราต้องไม่ดูถูกนักการศาสนาว่าเป็น
ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิทยาศาสตร์หรือเอารัดเอาเปรียบสังคม เพราะว่านักการศาสนานั้นเอง
ที่ได้ให้กำเนิดวิทยาการต่างๆแก่โลกในประวัติศาสตร์ระยะแรกๆ
แต่ต่อมาก็เป็นที่น่าเสียดายที่นักการศาสนาผู้ถอยหลังเข้าคลองได้เข้ามามีส่วนกีดกันความเจริญทางวิทยาศาสตร์ซึ่งครั้งหนึ่งที่พวกเขาได้เริ่มต้นก่อกำเนิดเอาไว้
ยุคสมัยแห่งเทพเจ้าผู้มีคุณนี้ดูจะดึกดำบรรพ์เอามากทีเดียว เพราะตำหรับพระเวทของอินเดียนั้น ปราชญ์ทางอินเดียศึกษากล่าวว่า มีอายุนานถึง
4000 – 5000 ปีก่อนคริสตกาลถือว่าเป็นบันทึกรุ่นแรกที่สุดของคำพูดของชนชาติอารยันเท่าที่เคยมีการบันทึกเอาไว้ ในพระเวทเราจะพบบทสวดเยินยอพระคุณของเทพเจ้าผู้มีคุณ มี อินทร์
อัคนี วรุณ และโสมเป็นต้น ส่วนหลักฐานการขอผล ประโยชน์ก็มีอยู่พร้อมมูลในพระเวทเหมือนกันแต่เป็นผลประโยชน์อย่างกว้างๆคือเป็นการขอปัญญาและความสว่าง
การขอผลประโยชน์แคบๆนั้นคงมรเฉพาะในหมู่ประชาชนเพราะเป็นที่แน่นอนว่านักการศาสนาจะอ้อนสอนขอผลประโยชน์ทางโลกไม่ได้
ส่วนนี้ของศาสนาที่คลาดเคลื่อนไปเพราะสามัญชนเอาความอยากได้ของตนไปพัวพันกับศาสนาแห่งการสำนึกคุณนั่นเอง ได้ทำให้ประชาชนหลงไหลในศาสนา โดยคิดว่าเทพเจ้าจะให้ผลประโยชน์ในชาตินี้
หรือชาติหน้า สมกับที่อ้อนวอน
ยิ่งมีนักการศาสนาจอมปลอมช่วยส่งเสริมด้วย
ประชาชนก็ยิ่งไปกันใหญ่ถึงกับไม่คิดอ่านทำอะไรกันที่เป็นความก้าวหน้าที่สามารถแก้ปัญหาของโลกได้จริงๆ
จึงต้องกล่าวว่าการขอผลประโยชน์ทางศาสนานี้เป็น “สุราเมรัยทางจิตใจ” เป็น
ยาเสพย์ติดให้โทษที่แท้จริง
ต่อจากเทพเจ้าผู้มีคุณของอินเดียเราก็ได้พบกับเทพเจ้าของกรีกซึ่งมีจำนวนมากมายไม่แพ้อินเดียเลย การภักดีต่อเทพเจ้าในศาสนา
“แห่งความสำนึกบุญคุณ” นี้
ทำให้เกิดยุคศิลปกรรมขึ้น
ถาวรวัตถุและเทวรูปได้ถูกสร้างขึ้นมากมายดัวยความงดงามและความมีสง่าราศี แรงงานมนุษย์ได้ถูกใช้ไปในการ ประกอบกิจการอันเป็นศิลปอย่างนี้มากมายทีเดียว ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งของความอดอยากขาดแคลนของมนุษย์ในสมัยนั้น เทพเจ้าในยุคนี้ปรากฏว่ามีชนิดที่เป็นผู้พิทักษ์อยุ่ด้วยซึ่งมีทั้ง
ความดี พลังอำนาจ ฤทธิ์เดช และความเป็นอมตะ
นี่แสดงว่าโลกในขณะนั้นย่อมมีนักรบผู้แกว่นกล้าหรือขุนศึกที่เป็นผู้นำแล้ว และความสำนึกคุณจากการที่ขุนศึกเป็นผู้ปกปักรักษาตนให้ปลอดภัยจากข้าศึกนั่นเองได้ทำให้มนุษย์สร้างเทพเจ้าผู้มีหน้าที่พิทักษ์โลกขึ้นเพื่อเป็นการสอดคล้องกับยุคสมัยแห่งผู้ยิ่งใหญ่ทางการรบพุ่ง
สิ่งนี้ยังแสดงให้เราได้เห็นอีกว่ามนุษย์กับมนุษย์ได้ทำการรบกันแล้ว
แรกสุดมนุษย์มีแต่ภัยจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ขณะนี้กลับมีภัยจากมนุษย์ด้วยกันเองเพิ่มขึ้นอีก
ภัยจากมนุษย์นี่เองได้ทำให้ทัศนะทางศาสนาเปลี่ยนไป...
โปรดติดตามตอนจบต่อไป