Wednesday, August 19, 2015

มองศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสจตร์ ตอนจบ

11.ศาสนาแห่งกลียุค     

ภัยระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์นั้นน่าจะเกิดจากความเหลื่อมล้ำในความอุดมสม บูรณ์ของธรรมชาติ   ซึ่งเป็นเหตุให้ชุมชนหนึ่งที่ขาดแคลนให้มีจิตใจแข็งกล้าขึ้นมา      และเข้าต่อกรกับชุมชนที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสมบูรณ์  ทั้งนี้เพื่อช่วงชิงเป็นเจ้าของสิ่งแวดล้อมนั้น   เราไม่อาจกล่าวเรื่องนี้ได้มากนักเพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์สำหรับนำมาอ้างอิงอย่างเพียงพอ    แต่ข้ออ้างของประเทศฝ่ายรุกรานก่อนนั้นล้วนเป็นการกล่าวอ้างเพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งสิ้น

เมื่อชุมชนเข้าโจมตีกันก็ย่อมมีผู้แพ้และผู้ชนะผู้แพ้ย่อมตกเป็นเชลยและทาส      เพราะเหตุนี้จึงเป็นสา เหตุหนึ่งของการเกิดระบบทาสขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และได้อยู่ยืนยาวมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน(เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบในการกดขี่บังคับให้ซับซ้อนขึ้น..)     เมื่อรบชนะชีวิตทาสย่อมตกอยู่ในมือของผู้ชนะผู้ชนะย่อมมีสิทธิ์เหนือชีวิตทาสไปในตัวมิหนำซ้ำยังถือเอาลูกหลานของทาสเป็นทาสตามไปด้วยและสามารถซื้อขายทาสประดุจสัตว์เลี้ยง     เจ้าทาสใช้งานทาสหนักมากแต่ให้อาหารพอแค่ประทังชีวิตเท่านั้น   ในกรณีเช่นนี้พวกทาสจึงมีความคิดที่จะหลีกให้พ้นจากสภาวะทาสโดยคิดหาทางต่อต้านเจ้าทาส  การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆและศาสนาใหม่ๆขึ้น

ในขณะที่เจ้าทาสมีชีสิตด้วยความสมบูรณ์พูนสุขเพราะมีทาสคอยรับใช้และผลิตของกินของใช้ให้อย่างเหลือเฟือ   ประกอบกับได้มีศาสนาที่ติดต่อกับ”เบื้องบน” อยู่แล้ว  พวกเจ้าทาสจึงเสาะแสวงหาความไม่ตายหรืออมฤตภาพ(Immortality)     จะเห็นว่าศาสนาต่างๆนั้นในชั้นแรกย่อมเกิดจากความต้องการ ของมหาชนเพื่อผลประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดก่อน      ต่อมาชนส่วนน้อยที่เป็นเจ้าทาสในสังคมทาส  ได้นำเอาศาสนามาประกอบกับความปรารถนาของตนเพื่อจะได้มีชีวิตตลอดไป   อีกด้านหนึ่งก็ได้นำมาเป็นประโยชน์ในการปกครองทาสด้วย  เพราะเมื่อสอนให้เชื่อได้ทั่วหน้ากันว่าเทพเจ้าที่อยู่เหนือมนุษย์ นั้นมีอยู่จริง     การยอมรับว่ามนุษย์ด้วยกันเองก็อยู่เหนือกันได้ย่อมเกิดขึ้น    ทั้งนี้จึงทำให้บรรดาทาสยอมรับอำนาจปกครองของพวกเจ้าทาสโดยดุษฎี          ด้วยประการฉะนี้เองพวกเจ้าทาสจึงเทิดทูนศาสนาแห่งเทพเจ้าเป็นอันมาก   เนื่องจากมีแรงงานถูกๆคล้ายแรงงานสัตว์อยู่ในกำมือ      พวกนายทาสจึงได้จัดสร้างเทวะสถาน ปราสาทราชวัง ด้วยถาวรวัตถุขึ้นอย่างมโหฬาร    สิ่งเหล่านี้ยังคงเหลือให้เห็นมาถึงปัจจุบัน     นับว่าระบบทาสในสมัยนั้นได้เอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่เจ้าทาสเป็นอย่างมาก    เพราะมันได้สร้างอารยะธรรมและวิทยาการต่างๆให้แก่โลกด้วย

ในประวัติศาสตร์ชั้นต้นๆของอินเดียนั้นชนเผ่าอารยันได้รุกเข้ามาในอินเดียตอนเหนือและได้ลดฐานะของพวกมิลักขะหรือดราวิเดีลงเป็นทาส    ในยุโรป..ชนชาติกรีกและโรมันได้ให้กำเนิดระบบทาสขึ้นนับว่าการกำเนิดของระบบทาสนี้เป็นไปตามการพัฒนาของสังคม   บางแห่งพวกทาสได้รวมกำลังกันเข้าต่อสู้กับเจ้าทาส    ในการนี้ศาสนาเก่าได้ไปเข้ากับฝ่ายเจ้าทาสจึงได้เกิดศาสนาใหม่ขึ้น...ศาสนาที่สนับสนุนการรวมตัวกันของทาส      เมื่อเห็นว่าศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ทำให้คนไม่สามัคคีกันและรวมกันไม่ติ   ศาสดาในยุคใหม่จึงสอนศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวซึ่งถือว่ามีความจะเป็น  และในขณะนั้นระบบที่ปกครองด้วยกษัตริย์ได้เกิดขึ้นบ้างแล้ว  ได้เกิดวรรณะนักรบขึ้นคือพวกกษัตริย์และชนชั้นปกครอง   และคนพวกนี้ได้ดำเนินการปกครองโดยใช้อำนาจผ่านกษัตริย์เพียงองค์เดียว   ทำให้พวกเจ้าทาสสามารถผนึกกำลังให้เป็นหนึ่งเดียวได้       ดังนั้นผู้นำของพวกทาสจึงใช้วิธีเดียวกันในการรวมกำลังกันเข้าต่อสู้   เนื่องจากทาสเป็นชนที่ร่วมวรรณะเดียวกัน  การสอนเรื่องพระเป็นเจ้าองค์เดียวจึงมีความจำเป็น

เราไม่ทราบแน่ชัดถึงต้นกำเนิดของลัทธิพรหมในอินเดีย     แต่เราทราบภายหลังการพิชิตอินเดียของพวกอารยันแล้ว    ชนเผ่ามิลักขะที่ถูกลดฐานะลงเป็นวรรณะที่ต่ำกว่ามีความคิดขัดแย้งกับพวกอารยัน   คำสอนเรื่องพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวที่เรียกว่าพระพรหม หรือ ปรมาตมัน นั้นเชื่อกันว่าอาจจะเป็นการปรับความเชื่อของตนให้เข้ากับศาสนาดั้งเดิมของชาวมิลักขะ      พระเวทซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาพราหมณ์ในระยะหลังๆก็ได้มีคำสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียวตามเข้ามา  

ก่อนคริสตศักราช 586 ปี  ราชาแห่ง ฆานเดียนได้ยกทัพเข้าทำลายกรุงเยรูซาเล็ม    และจับเอาชาว ยิวไปเป็นทาสในกรุงบาบิโลน(อยู่ในประเทศอิรัค)          ศาสดาพยากรณ์ชื่อ อาซียะห์ได้ช่วยกอบกู้อิสรภาพของชาวยิวขึ้นมาอีกโดยย้ำสอนลัทธิพระเจ้าองค์เดียว       ก่อนหน้านี้หลายร้อยปีโมเสสได้ใช้ศาสนาในทำนองนี้รวบรวมชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นทาสหนีออกจาอียิปต์ได้สำเร็จเช่นกัน    ยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่ศาสนาเก่าได้สูญเสียความชอบธรรมไปโดยที่พวกนักบวชละเว้นไม่ปฏิบัติตนตามคำสอนที่แท้จริง  

ประกอบกับบ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย  ชนชั้นสูงใช้ชีวิตแบบโอ่อ่าฟุ่มเฟือยท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน    มีการข่มเหงกันทางการเมืองและการนับถือศาสนา      ยุคสมัยเช่นนี้จึงเป็นกลียุค   และในจุดที่วิกฤตสุดนี้มักจะมีบรมศาสดาเกิดขึ้นมาแก้ไข    เป็นต้นว่าพระเยซูคริสต์ทำให้ศาสนาของพระเจ้าองค์เดียวบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นและได้ชี้ให้เห็นถึงต้นเหตุแห่งความเสื่อมศีลธรรม   พระศาสดามูฮัมหมัดได้รื้อฟื้นศาสนาเก่าขึ้นมาโดยทำการต่อต้านชนเผ่ากุเรชที่รักษาวิหารกะบะฮ์ ที่ถอยหลังเข้าคลองไปนับถือศาสนาพระเจ้าหลายองค์    โซโรเอสเตอร์ในอิหร่าน  พระพุทธเจ้าในอินเดีย  ล้วนสอนธรรมอย่างใหม่ในกลียุคทั้งสิ้น    แม้แต่ศาสนาคริสต์นิกายใหม่ โปรแตสแตนท์ก็เกิดจากการถอยหลังเข้าคลองของวงการศาสนานิกายคาธอลิคบางแห่ง   ตกลง....เราได้หลักวิทยาศาสตร์สังคมัว่า ศาสนาใหม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่สังคมเกิดยุคเข็ญ   และต้นเหตุสำคัญก็คือการกระทำของมนุษย์ต่อมนุษย์นั่นเอง

จบ

No comments:

Post a Comment